กองทัพเรือโดยฐานทัพเรือสัตหีบ จัดพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เนื่องใน “วันอาภากร” ประจำปี ๒๕๖๕ ณ สวนกรมหลวงชุมพร กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

Release Date : 19-05-2022 13:53:00
กองทัพเรือโดยฐานทัพเรือสัตหีบ จัดพิธีวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เนื่องใน “วันอาภากร” ประจำปี ๒๕๖๕ ณ สวนกรมหลวงชุมพร กองทัพเรือ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

เมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕ พลเรือตรี ธวัชชัย ม่วงคำ รักษาราชการผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ ประธานในพิธีฯ และคุณสุกนิฎฐา ม่วงคำ ผู้แทนนายกสมาคมภริยาทหารเรือ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือในพื้นที่สัตหีบ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ สมาคมภริยาทหารเรือ ชมรมภริยากองเรือยุทธการ ชมรมภริยานาวิกโยธิน ชมรมภริยาหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และชมรมภริยาฐานทัพเรือสัตหีบ ร่วมวางพวงมาลาถวายสักการะพระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เนื่องใน “วันอาภากร” ประจำปี ๒๕๖๕ ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติของกองทัพเรือ ที่ร่วมกันแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ซึ่งในปีนี้ครบรอบปีที่ ๙๙ ซึ่งนับเป็นโอกาสพิเศษที่ทหารเรือทุกนาย ร่วมน้อมรำลึกถึงพระกรุณาคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงมีต่อกองทัพเรือและประเทศชาติโดยพร้อมเพรียงกัน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ประสูติเมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๒๓ เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับเจ้าจอมมารดาโหมด ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๖ ภายหลังจากเหตุการณ์การรบที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา รศ.๑๑๒ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ซึ่งมีพระชนมายุ ๑๓ ชันษา ในขณะนั้น เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ อันเป็นประเทศต้นแบบของการทหารเรือด้วย ณ เวลานั้น กิจการของทหารเรือในด้านต่าง ๆ ยังมิได้มีรากฐานมั่นคง และนายทหารเรือที่เป็นคนไทยที่มีความรู้วิชาการทหารเรือมีจำนวนน้อย ต้องว่าจ้างชาวต่างประเทศมาปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยต่าง ๆ ของกรมทหารเรือ พระองค์ท่านจึงนับเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์แรก ที่ได้ศึกษาวิชาการทหารเรือในต่างประเทศ เมื่อพระองค์ทรงสำเร็จการศึกษา ในปีพุทธศักราช ๒๔๔๓ ทรงเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือด้วยพระปณิธานอันตั้งมั่นที่จะปฏิรูปและพัฒนาการทหารเรือให้มีรากฐานที่มั่นคง เข้มแข็ง และเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ ขณะที่ทรงดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ พระองค์ได้ทรงจัดระเบียบราชการกรมทหารเรือขึ้นใหม่ ส่งผลให้การปฏิบัติงานไม่ซ้ำซ้อน และการปกครองบังคับบัญชามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทรงจัดทำโครงการป้องกันประเทศทางด้านทะเล อันประกอบด้วยความต้องการกำลังรบทางเรือ และแนวความคิดในการใช้กำลังทางเรือ ซึ่งถือเป็นแผนการทัพฉบับแรกของกรมทหารเรือ ทรงปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของโรงเรียนนายเรือให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และได้ทรงนำนักเรียนนายเรือออกฝึกภาคต่างประเทศเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือ พระองค์ทรงเห็นการณ์ไกลว่าบริเวณอ่าวไทยตอนบนนั้น จุดยุทธศาสตร์ทางทะเลที่ดีที่สุดคือ บริเวณอ่าวสัตหีบ จังหวัดชลบุรี จึงทรงขอพระราชทานที่ดินที่สัตหีบจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อใช้เป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือ ซึ่งถูกพัฒนาให้มีความเจริญก้าวหน้าเรื่อยมา และเป็นที่ตั้งของหน่วยกำลังรบที่สำคัญของกองทัพเรือจนถึงปัจจุบัน ด้วยพระกรุณาคุณของพระองค์ท่าน ได้ส่งผลให้กองทัพเรือมีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างมั่นคงเป็นปึกแผ่นตราบจนทุกวันนี้ ทหารเรือทุกนายจึงขอน้อมรำลึกและเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระองค์ท่านที่ได้ทรงริเริ่มวางรากฐานกิจการทหารเรือให้มีความมั่นคงเข้มแข็ง และมีความเจริญก้าวหน้า กองทัพเรือจึงได้กำหนดให้วันที่ ๑๙ พฤษภาคม เป็น “วันอาภากร” และขนานนามพระองค์ท่านเป็น “องค์บิดาของทหารเรือไทย” นอกจากพระปรีชาสามารถด้านการทหารเรือแล้ว พระองค์ทรงศึกษาตำราแพทย์แผนไทยอย่างจริงจัง และทรงให้การรักษาราษฎรที่เจ็บป่วยโดยไม่แบ่งชั้นวรรณะ จนพระเกียรติคุณในนาม “หมอพร” เป็นที่รู้จักไปทั่วทุกสารทิศ อีกทั้งทรงมีพระปรีชาสามารถด้านศิลปะ ทรงเขียนภาพลายไทยที่งามวิจิตรดังปรากฏในผนังโบสถ์วัดปากคลองมะขามเฒ่า จังหวัดชัยนาท นอกจากนี้พระองค์ทรงพระนิพนธ์บทเพลงทหารเรือที่มีเนื้อหาปลุกใจให้เข้มแข็ง เป็นการปลูกฝังนายทหารเรือให้มีความรักชาติ รักแผ่นดิน และมีความสามัคคี อันเป็นเอกลักษณ์ที่ดีงามของทหารเรือ และยังคงได้ขับร้องกันอย่างแพร่หลายจวบจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้พระองค์ท่าน ได้สิ้นพระชนม์ไปถึง ๙๙ ปีแล้ว แต่ทหารเรือทุกนาย และประชาชนผู้ที่เคารพรักเลื่อมใสศรัทธา ยังคงรำลึกในพระกรุณาคุณของพระองค์ท่านอย่างมิรู้คลาย ดังจะเห็นได้จากอนุสรณ์ที่ปรากฏพระนามอยู่ทุกแห่งหนอยู่ทุกสถานที่สำคัญ จึงนับเป็นประจักษ์พยาน ได้เป็นอย่างดีว่า พระองค์ทรงเป็นมิ่งขวัญของทหารเรือ และประชาชนผู้ที่เคารพรักทั้งปวงตลอดมา